วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

1. ชื่อเรื่อง (The Title)

1.              ชื่อเรื่อง (The Title)
http://www.watpon.com/Elearning/res19.htm ได้รวบรวมไว้ว่า   ชื่อเรื่องวิจัยนับเป็นจุดแรกที่จะดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน และทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจในปัญหารวมทั้งวิธีการดำเนินการวิจัยของผู้วิจัยอีกด้วย ดังนั้นการตั้งชื่อเรื่องวิจัยจึงต้องเขียนให้ชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่เขียนอย่างคลุมเครือ ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงต้องระมัดระวังในการตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้เหมาะสม ซึ่งมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้
1. ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้สั้น โดยใช้คำที่เฉพาะเจาะจง หรือสื่อความหมายเฉพาะเรื่อง และควรเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย กะทัดรัด แต่ชื่อเรื่องก็ไม่ควรจะสั้นเกินไปจนทำให้ขาดความหมายทางวิชาการ
2. ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้ตรงกับประเด็นของปัญหา เมื่อผู้อ่านอ่านแล้วจะได้ทราบว่าเป็นการวิจัยเกี่ยวกับปัญหาอะไรได้ทันที อย่างตั้งชื่อเรื่องวิจัยที่ทำให้ผู้อ่านตีความได้หลายทิศทาง และอย่าพยายามทำให้ผู้อ่านเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากเกินความเป็นจริง
3. ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยโดยการใช้คำที่บ่งบอกให้ทราบถึงประเภทของการวิจัย ซึ่งจะทำให้ชื่อเรื่องชัดเจน และเข้าใจง่ายขึ้น เช่น
3.1 การวิจัยเชิงสำรวจ มักใช้คำว่า การสำรวจ หรือการศึกษาในชื่อเรื่องวิจัยหรืออาจระบุตัวแปรเลยก็ได้ เช่น การศึกษาการใช้สารเคมีของชาวอีสาน หรือการสำรวจการใช้สารเคมีของชาวอีสาน หรือการใช้สารเคมีของชาวอีสาน เป็นต้น
3.2 การวิจัยเชิงศึกษาเปรียบเทียบ การตั้งชื่อเรื่องวิจัยในลักษณะนี้ มักจะใช้คำว่า การศึกษา เปรียบเทียบ หรือการเปรียบเทียบ นำหน้า เช่น การศึกษาเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านของนักเรียนในเขตและนอกเขตเทศบาล ของจังหวัดมหาสารคาม
3.3 การวิจัยเชิงสหสัมพันธ์ การวิจัยประเภทนี้จะใช้คำว่า การศึกษาความสัมพันธ์ หรือความสัมพันธ์ นำหน้าชื่อเรื่องวิจัย เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างความขัดแย้งกับพ่อแม่และการปรับตัวของวัยรุ่น เป็นต้น
3.4 การวิจัยเชิงการศึกษาพัฒนาการ การวิจัยประเภทนี้มักใช้คำว่า การศึกษาพัฒนาการหรือพัฒนาการ นำหน้าชื่อเรื่องวิจัย เช่น การศึกษาพัฒนาการด้านการเขียนของเด็กก่อนวัยเรียนในเขตเทศบาลเมืองมหาสารคาม
3.5 การวิจัยเชิงทดลอง การตั้งชื่อเรื่องวิจัยประเภทนี้อาจตั้งชื่อได้แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของการทดลอง เช่น อาจใช้คำว่า การทดลอง การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การศึกษา การเปรียบเทียบ ฯลฯ นำหน้า หรือาจจะไม่ใช้คำเหล่านี้นำหน้าก็ได้ เช่น การทดลองเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในจังหวัดอ่างทอง การวิเคราะห์หาปริมาณของกรดอะมิโนที่จำเป็นในปลายรากข้าวโพดหลังจากแช่ในสารละลายน้ำตาลชนิดต่าง ๆ การสังเคราะห์กรดไขมันจากอะเซติลโคเอ การศึกษาองค์ประกอบต่าง ๆ ในยางมะละกอ การเปรียบเทียบการสอนอ่านโดยวิธีใช้ไม่ใช้การฟังประกอบ การสกัดสารอินดิเคเตอร์จากดอกอัญชัน ฯลฯ
4. ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยในลักษณะของคำนาม ซึ่งจะทำให้เกิดความไพเราะ สละสลวยกว่าการใช้คำกริยานำหน้าชื่อเรื่อง เช่น แทนที่จะใช้คำว่า ศึกษา เปรียบเทียบ สำรวจ ก็ควรใช้คำที่มีลักษณะเป็นคำนามนำหน้า เช่น การศึกษา การเปรียบเทียบ การสำรวจ ฯลฯ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ไม่ดี : ศึกษาวงจรชีวิตของเห็บสุนัข
ดีขึ้น : การศึกษาวงจรชีวิตของเห็บสุนัข
ไม่ดี : เปรียบเทียบความเกรงใจระหว่างนักเรียนชายกับนักเรียนหญิงของโรงเรียนในเขตเทศบาลเมืองเลย
ดีขึ้น : การเปรียบเทียบความเกรงใจระหว่างนักเรียนชายกับนักเรียนหญิงของโรงเรียนในเขตเทศบาลเมืองเลย
5. ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยที่ประกอบด้วยข้อความเรียงที่สละสลวยได้ใจความสมบูรณ์ คือเป็นชื่อเรื่องที่ระบุให้ทราบตั้งแต่จุดมุ่งหมายของการวิจัย ตัวแปร และกลุ่มตัวอย่างที่จะศึกษาวิจัยด้วย เช่น การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนการสอบคัดเลือกกับเกรดเฉลี่ยสะสมและเจตคติต่อวิชาชีพครูของนิสิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2544
อนึ่ง นักวิจัยบางท่านก็นิยมเขียนชื่อเรื่องวิจัยสั้น ๆ โดยไม่ได้ระบุรายละเอียดลงไป เช่น บุคลิกภาพของนักศึกษาครู เป็นต้น

http://rforvcd.wordpress.com
ได้รวบรวมไว้ว่า การตั้งชื่อเรื่องปัญหาการวิจัย (Research Title) การเขียนชื่อเรื่องวิจัยต้องให้กระชับ กะทัดรัด แสดงถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรหรือประเด็นที่ต้องการจะศึกษาอย่างครบถ้วนผู้วิจัยต้องกำหนดชื่อหัวข้อปัญหาลงไปให้ชัดเจนว่า ปัญหานั้นคืออะไร ซึ่งการตั้งชื่อหัวข้อปัญหาการวิจัยนั้น  รศ.ดร.ภญ. กัญญดา  อนุวงศ์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2540) สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์ (2544) อ้างจาก ศรีสุดา คล้ายคล่องจิตร คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ ไพทูรย์  เวทการ. (2540.) ได้ให้ข้อคิดในการตั้งหัวข้อ ปัญหางานวิจัยไว้ดังนี้


1) ชื่อปัญหาควรสั้นกะทัดรัด และชัดเจน เพื่อระบุถึงเรื่องที่จะทำการศึกษาวิจัยว่า จะศึกษาเรื่องอะไรกับใคร ที่ไหน อย่างไร เมื่อใด หรือต้องการผลอะไร ครบคลุมปัญหาที่จะวิจัย
ตัวอย่างเช่น
ประสิทธิผลของการใช้วัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมันกับทหารในศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ 2547
ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ชื่อที่ยาวมากๆ แต่ไม่ฟุ่มเฟือย อาจแบ่งชื่อเรื่องออกเป็น 2 ตอน โดยให้ชื่อในตอนแรกมีน้ำหนักความสำคัญมากกว่า และตอนที่สองเป็นเพียงส่วนประกอบหรือส่วนขยาย เช่น
การศึกษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคของนักเรียนชาย: เปรียบเทียบระหว่างนักเรียนอาชีวศึกษากับนักศึกษามหาวิทยาลัยปีที่ 1 ในกรุงเทพมหานคร 2547
2) ชื่อหัวข้อปัญหาที่ดีจะต้องแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรของปัญหานั้นๆ ตอบว่า ศึกษาปรากฏการณ์หรือตัวแปรอะไร  กับใคร ที่ไหน หรือเมื่อไร (ถ้าเกี่ยวกับเวลา)
ตัวอย่างเช่น
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรับผิดชอบกับวินัยในตนเองของนักศึกษาวิทยาลัยเพาะช่าง
3) ชื่อเรื่อง ควรขึ้นต้นด้วยคำนาม เพื่อให้เกิดความไพเราะสละสลวย ที่นิยมกัน คือ มักจะขึ้นด้วยคำว่า  การศึกษา  การสำรวจ  การวิเคราะห์  การเปรียบเทียบ
ตัวอย่างเช่น
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถทางสมองกับความสามารถทางการคิดแก้ปัญหาในวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนในชั้นมัธยมศึกษา
การเปรียบเทียบพฤติกรรมเชิงจริยธรรมของนักเรียนจากการประเมินผลหลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2503  และ พุทธศักราช  2521
4) ภาษาที่ใช้ต้องอ่านเข้าใจได้ง่าย ไม่ต้องตีความอีก ถ้ามีศัพท์เทคนิคต้องเป็นศัพท์ที่เป็นที่ยอมรับในสาขาวิชานั้นๆ
5) การตั้งชื่อหัวข้อปัญหาจะต้องระวังไม่ให้ซ้ำซ้อนกับผู้อื่น แม้ว่าจะศึกษาในประเด็นที่คล้ายๆ กันก็ตาม
นอกจากนี้ ควรคำนึงด้วยว่าชื่อเรื่องกับเนื้อหาของเรื่องที่ต้องการศึกษาควรมีความสอดคล้องกันการเลือกเรื่องในการทำวิจัยเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ที่ต้องพิจารณารายละเอียดต่างๆ หลายประเด็น โดยเฉพาะประโยชน์ที่จะได้รับจากผลของการวิจัย  (คณะกรรมการฝึกอบรมและสอบความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม  สาขาเวชศาสตร์ครอบครัว  ราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทย)หลังจากผู้วิจัยได้กำหนดชื่อเรื่องที่จะวิจัยชัดเจนแล้ว  ให้ลองตรวจสอบดูว่าชื่อเรื่องที่จะวิจัยมีความเหมาะสมหรือไม่  โดยตอบคำถามในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ (ไพทูรย์  เวทการ.  ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการวิจัย.  ลำปาง : โรงพิมพ์ช่างแดง, 2540.)
1) ชื่อเรื่องมีความชัดเจน รัดกุม และสื่อความหมายได้ครอบคลุมเนื้อหาที่จะวิจัยหรือไม่
2) ชื่อเรื่องได้มีการระบุปัญหาเป็นการเฉพาะหรือชี้ชัดประเด็นที่จะศึกษาได้เพียงใด
3) ชื่อเรื่องกว้างหรือแคบเกินไปหรือไม่
4) การใช้คำขึ้นต้นมีลักษณะเป็นคำนามที่สื่อความหมายได้เพียงใด
5) การตั้งชื่อจูงใจและดึงดูดความสนใจของผู้อ่านเพียงใด

ลัดดาวัลย์  เพชรโรจน์ และอัจฉรา  ชำนิประศาสน์ (2547:33-36) ได้ไว้กล่าวว่า การตั้งชื่อเรื่องวิจัย มีแนวคิด แบ่งออกได้เป็น 2 แนวคิดคือ
1. การตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้มีความหมาย มีความยาวเท่าใดก็ได้ แต่ต้องกำหนดขอบเขตให้ชัดเจน ให้ผู้อ่านงานวิจัยรู้ว่าทำการวิจัยอะไร กับใคร ที่ไหน เมื่อใด
2.การตั้งชื่อเรื่องวิจัยอย่างสั้นๆ ที่บอกความสัมพันธ์ของตัวแปรต้นและตัวแปรตาม ส่วนรายละเอียดอื่นๆจะอยู่ในขอบเขตของงานวิจัย
การตั้งชื่อเรื่องวิจัยจะเป็นแบบยาวหรือแบบสั้นนั้น แล้วแต่ความนิยมของผู้วิจัยหรือผู้พิจารณาให้ทุนการวิจัย ซึ่งไม่มีข้อห้ามที่ตายตัวแน่นอน ดังนั้นการตั้งชื่อเรื่องการวิจัยควรคำนึงดังนี้
1.การเขียนต้องมีทิศทางของปัญหา คือบอกความสัมพันธ์ของตัวแปรต้นและตัวแปรตาม
2.การเขียนชื่อเรื่องต้องกะทัดรัดชัดเจนไม่กำกวม
3.ถ้อยคำที่ใช้หรือภาษาที่ใช้ต้องสื่อความหมายสามารถอธิบายได้ ให้ความหมายได้อย่างชัดเจน
สรุป
ชื่อเรื่องวิจัยนับเป็นจุดแรกที่จะดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน และทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจในปัญหารวมทั้งวิธีการดำเนินการวิจัยของผู้วิจัยอีกด้วย ดังนั้นการตั้งชื่อเรื่องวิจัยจึงต้องเขียนให้ชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่เขียนอย่างคลุมเครือ ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงต้องระมัดระวังในการตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้เหมาะสมการเขียนชื่อเรื่องวิจัยต้องให้กระชับ กะทัดรัด แสดงถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรหรือประเด็นที่ต้องการจะศึกษาอย่างครบถ้วนผู้วิจัยต้องกำหนดชื่อหัวข้อปัญหาลงไปให้ชัดเจนว่า ปัญหานั้นคืออะไร ซึ่งการตั้งชื่อเรื่องวิจัยจะเป็นแบบยาวหรือแบบสั้นนั้น แล้วแต่ความนิยมของผู้วิจัยหรือผู้พิจารณาให้ทุนการวิจัย ซึ่งไม่มีข้อห้ามที่ตายตัวแน่นอน ดังนั้นการตั้งชื่อเรื่องการวิจัยควรคำนึงดังนี้
1.การเขียนต้องมีทิศทางของปัญหา คือบอกความสัมพันธ์ของตัวแปรต้นและตัวแปรตาม
2.การเขียนชื่อเรื่องต้องกะทัดรัดชัดเจนไม่กำกวม
3.ถ้อยคำที่ใช้หรือภาษาที่ใช้ต้องสื่อความหมายสามารถอธิบายได้ ให้ความหมายได้อย่างชัดเจน
ที่มา  :     
http://www.watpon.com/Elearning/res19.htm     เข้าถึงเมื่อ 25 ธันวาคม 2555 .
http://rforvcd.wordpress.com    เข้าถึงเมื่อ 25 ธันวาคม 2555.
ลัดดาวัลย์  เพชรโรจน์ และอัจฉรา  ชำนิประศาสน์. (2547). ระเบียบวิธีการวิจัย. กรุงเทพฯ: พิมพ์ดีการ
          พิมพ์.











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น